ซิฟิลิสติดต่อทางไหนรักษาหายขาดหรือไม่

ซิฟิลิสติดต่อทางไหนรักษาหายขาดหรือไม่

ซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum แม้ว่า ซิฟิลิส จะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้หากพบเจอในระยะเริ่มต้น แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงวิธีการติดต่อของ ซิฟิลิส, อาการในแต่ละระยะ, การรักษา และวิธีป้องกัน เพื่อให้คุณเข้าใจและดูแลสุขภาพได้อย่างถูกต้อง

ซิฟิลิสคืออะไร ?

ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นกามโรคชนิดหนึ่งติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา พาลลิดัม (Treponema pallidum) ที่ดำเนินผ่านระยะต่าง ๆ ได้แก่ ระยะแรก ระยะที่สอง ระยะแฝง และระยะสุดท้าย ซึ่งแต่ละระยะจะมีอาการและผลกระทบที่แสดงออกแตกต่างกันไป สามารถแพร่เชื้อจากการสัมผัสสารคัดหลั่งโดยตรงจากผู้ติดเชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การทำออรัลเซ็กส์ การจูบ การสัมผัสบาดแผล รวมถึงการติดเชื้อจากแม่สู่ทารกขณะตั้งครรภ์หรือระหว่างการคลอดบุตร เชื้อนี้สามารถแพร่กระจายตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงต่อสุขภาพได้

ประวัติความเป็นมาของโรคซิฟิลิส

ประวัติศาสตร์ของโรคซิฟิลิสเป็นเรื่องเล่าที่น่าสนใจและกินระยะเวลายาวนานหลายศตวรรษ โดยเกี่ยวพันกับการแพทย์ สังคม และวัฒนธรรม ว่ากันว่าต้นกำเนิดของโรคซิฟิลิสที่แท้จริงยังคงเป็นที่ถกเถียง โดยเชื่อกันว่าซิฟิลิสถูกนำเข้ามาในยุโรปโดยลูกเรือของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ที่เดินทางกลับจากทวีปอเมริกาในปี ค.ศ. 1493 ปรากฎหลักฐานได้แก่ ซากโครงกระดูกจากอเมริกาก่อนยุคโคลัมบัสที่แสดงอาการของโรคที่เกิดจากเชื้อทรีโพนีมา พาลลิดัม หลังจากนั้นซิฟิลิสแพร่ระบาดครั้งแรกเมื่อปี (ค.ศ. 1494–1495) ซึ่งมีการบันทึกไว้ว่าเกิดการระบาดขึ้นในหมู่ทหารฝรั่งเศสระหว่างการปิดล้อมเมืองเนเปิลส์ในปี ค.ศ. 1495 ทำให้โรคนี้ได้ชื่อว่า “โรคฝรั่งเศส” การระบาดแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วทวีปยุโรป อาการของโรคเริ่มจากเป็นแผลที่อวัยวะเพศ จากนั้นผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้ ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ มีผื่นทั่วตัว หลังจากนั้นอีกหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนจะเกิดเป็นฝีและแผลขนาดใหญ่หรือที่เรียกว่าฝีหนองทั่วร่างกาย มีอาการเจ็บปวดและมีกลิ่นเหม็น เวลากลางคืนจะปวดกระดูก แผลมักจะลุกลามไปทำลายอวัยวะบนใบหน้า เช่น จมูก ริมฝีปาก ดวงตา และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาต่อมา สำหรับคำว่า “ซิฟิลิส” มีที่มาจาก Girolamo Fracastoro แพทย์ นักคณิตศาสตร์ และนักกวีชาวอิตาลี โดยในปี ค.ศ. 1530 เขาเขียนบทกวีชื่อ “Syphilis sive morbus gallicus” (ซิฟิลิสหรือโรคของฝรั่งเศส) โดยตั้งชื่อโรคนี้ตามชื่อคนเลี้ยงแกะในตำนานชื่อซิฟิลัส ซึ่งถูกเทพเจ้าสาปแช่ง

ซิฟิลิสติดต่อได้อย่างไร?

ซิฟิลิสติดต่อทางไหน? ซิฟิลิสสามารถติดต่อได้หลายช่องทาง โดยเฉพาะจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน รวมถึงการทำออรัลเซ็กส์ การจูบ และการสัมผัสบาดแผล นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์หรือคลอดได้ ดังนั้นการป้องกันด้วยการสวมถุงยางอนามัยและตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ

  • การมีเพศสัมพันธ์ (ช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก)
  • การสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือผื่นของซิฟิลิส
  • การถ่ายเลือด (พบได้น้อยในปัจจุบัน)
  • การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์
  • เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายผ่านเยื่อเมือกหรือบาดแผลเล็ก ๆ บนผิวหนัง

ซิฟิลิสอาการแต่ละระยะ

ซิฟิลิสอาการแต่ละระยะ

อาการของผู้ป่วยซิฟิลิสทั้งหญิงและชายจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยจะมีแผลริมแข็งขึ้นที่อวัยวะเพศ  ลิ้นมีฝ้าขาว มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดกล้ามเนื้อ น้ำหนักลด ผมร่วง เหนื่อยง่าย อาการในผู้หญิงจะมีแผลที่อวัยวะเพศ ปากมดลูก ผนังช่องคลอด และริมฝีปาก ส่วนอาการในผู้ชายจะมีรอยโรคที่หัวองคชาต ลำองคชาต รอบถุงอัณฑะ ทวารหนัก ขาหนีบ และภายในท่อปัสสาวะ

ซิฟิลิสระยะที่ 1 ระยะปฐมภูมิ หรือระยะเป็นแผล (Primary syphilis)

  • มีแผลลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ ไม่เจ็บในบริเวณที่ติดเชื้อ
  • ต่อมน้ำเหลืองโตใกล้แผล
  • อาการจะปรากฏประมาณ 3 สัปดาห์หลังการสัมผัส

ซิฟิลิสระยะที่ 2 ระยะทุติยภูมิ หรือระยะออกดอก (Secondary syphilis)

  • ผื่นบนฝ่ามือและฝ่าเท้า
  • มีไข้และอ่อนเพลีย
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม
  • เจ็บคอและปวดกล้ามเนื้อ
  • ระยะนี้อาจกินเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน

ซิฟิลิสระยะที่ 3 ระยะแฝง (Latent syphilis)

  • เป็นระยะแฝงซึ่งผู้ป่วยมักไม่มีอาการใด ๆ (ระยะสงบทางคลินิก) ซึ่งอาจยาวนานหลายปีบางรายนานถึง 20 ปี แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย

ซิฟิลิสระยะที่ 4 ระยะสุดท้าย (Tertiary syphilis)

  • ปัญหาทางระบบประสาท ความผิดปกติในการเคลื่อนไหว สมองเสื่อม
  • เชื้อเข้าไปทำลายระบบสมอง และอวัยวะอื่น ๆ
  • ปัญหาระบบหัวใจและหลอดเลือด ลิ้นหัวใจรั่ว
  • เป็นตุ่มเนื้ออ่อน หรือเนื้องอกกัมม่า (Gummas)
  • ตาบอด หูหนวก อัมพาต ชัก และเสียชีวิต
  • เกิดขึ้นหลังการติดเชื้อหลายปีหากไม่ได้รับการรักษา

การวินิจฉัยและการตรวจหาเชื้อซิฟิลิสทำอย่างไร

การตรวจหาเชื้ออย่างละเอียดโดยแพทย์จะทำการซักประวัติหากมีความเสี่ยง ร่วมกับการตรวจร่างกายทางห้องปฏิบัติการดังนี้

  1. การส่องกล้อง (Dark-field microscopic test: DF) : เป็นวิธีเก็บตัวอย่างจากเซลล์จากผื่นผิวหนัง หรือหนองในบาดแผลระยะที่ 1 เพื่อนำไปส่องกล้องจุลทรรศน์เพื่อค้นหาเชื้อซิฟิลิส
  2. การตรวจเลือด (Blood test) : เพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับโรคใน
    ระยะที่ 1 และ 2 วิธีนี้เป็นการตรวจที่มีความแม่นยำ รู้ผลภายใน 1-3 วัน ซึ่งแบ่งการตรวจออกเป็น 2 วิธี

2.1 การตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงต่อโรค เช่น การตรวจ RPR (Rapid plasma reagin) หรือ การตรวจ VDRL (Venereal disease research laboratory test)

2.1 การตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันที่เฉพาะเจาะจงต่อโรค เช่น การตรวจ TPHA (Treponemal pallidum hemagglutination test) การตรวจ FTA-ABS (Fluorescent treponemal antibody absorption) การตรวจ ICT (Immunochromatography test) หรือ การตรวจ TP-PA (Treponema pallidum particle agglutination)

  1. การตรวจน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture) : วิธีนี้ใช้ในผู้ป่วยระยะที่ 3 ที่มีอาการแทรกซ้อนหรือ
    อาการทางระบบประสาท เพื่อยืนยันโรค

วิธีรักษาโรคซิฟิลิส

ทางเลือกหลักในการรักษาโรคซิฟิลิสคือฉีดยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนนิซิลลิน (Penicillin) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย สำหรับการรักษาซิฟิลิสระยะแรกและระยะที่สอง แพทย์จะฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อโดยตรงแม้จะไม่มีอาการใด ๆ สำหรับผู้ป่วยระยะที่สองและสาม แพทย์จะทำการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อทุก ๆ สัปดาห์รวม 3 เข็ม และอาจพิจารณาให้ยาทางหลอดเลือดดำหากพบการติดเชื้อในระบบของร่างกาย และจะนัดตรวจเลือดทุก 3 เดือน และ 6 เดือนหลังรักษา และจะนัดตรวจซ้ำเป็นประจำทุกปีเพื่อติดตามอาการและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนและไม่ให้โรคพัฒนาไปสู่ระยะที่สี่ระยะสุดท้าย

ข้อแนะนำเพิ่มเติม : ผู้ป่วยต้องงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าผลตรวจเลือดจะเป็นลบ หรือหากจำเป็นต้องสวมถุงยางอนามัย และควรแจ้งให้คู่รับทราบเพื่อให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อเช่นเดียวกัน

ภาวะแทรกซ้อนหากไม่ได้รับการรักษา

โรคซิฟิลิสหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ขึ้นอยู่กับระยะของการติดเชื้อดังต่อไปนี้ โดยหากเป็นซิฟิลิสในระยะเริ่มแรก ผู้ป่วยอาจมีผื่นผิวหนัง หูดหงอนไก่ มีไข้ อ่อนเพลีย เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโตแต่หากเข้าสู่ระยะสุดท้าย (ระยะที่สี่) ผู้ป่วยอาจมีภาวะหลอดเลือดใหญ่อักเสบ หลอดเลือดโป่งพองหรือลิ้นหัวใจรั่ว ซิฟิลิสที่เหงือก กระดูก ตับ หรืออวัยวะอื่น ๆ และในกรณีติดเชื้อซิฟิลิสที่ระบบประสาทส่งผลต่อสมองและไขสันหลัง ทำให้เกิดปัญหาทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคสมองเสื่อมการสูญเสียการเคลื่อนไหวเนื่องจากความเสียหายของไขสันหลัง ในกรณีติดเชื้อทางตาและหูอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นหรือการได้ยิน นอกจากนี้ผู้ป่วยยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV เพิ่มมากขึ้น และสุดท้ายหากเป็นการติดเชื้อจากการถ่ายทอดโรคให้กับทารกในครรภ์อาจส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด หรือความผิดปกติร้ายแรง เช่น จมูกเบี้ยว ฟันคุด สูญเสียการได้ยิน และความล่าช้าของพัฒนาการ

ซิฟิลิสป้องกันได้อย่างไร?

โรคซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ดังนั้นวิธีป้องกันซิฟิลิสได้ดีที่สุดคือการมีเพศสัมพันธ์โดยสวมถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี ส่วนวิธีป้องกันอื่น ๆ มีดังนี้

  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • กรณีมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนชั่วคราวให้งดการจูบปาก หรือการทำออรัลเซ็กส์
  • ไม่ใช้เซ็กส์ทอย (Sex toy) ร่วมกับผู้อื่น
  • ไม่สัมผัสบาดแผลของผู้อื่น
  • แจ้งให้คู่รักทราบ หากติดเชื้อซิฟิลิส
  • คุณแม่ตั้งครรภ์ ควรเข้าโปรแกรมฝากครรภ์เพื่อตรวจหาเชื้อซิฟิลิส
  • การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน

ซิฟิลิสรักษาหายขาดไหม ?

โรคซิฟิลิสหากรับการรักษาโดยเร็วไม่ให้เชื้อพัฒนาไปสู่ระยะต่าง ๆ สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ

ซิฟิลิสแต่กำเนิด หมายถึงอะไร?

โรคซิฟิลิสแต่กำเนิดเป็นภาวะร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อแม่ที่ติดเชื้อซิฟิลิสแพร่เชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ไปสู่ทารกในระหว่างตั้งครรภ์หรือคลอด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หากแม่ไม่รักษาการติดเชื้อหรือรักษาไม่เพียงพอ โรคนี้สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ แก่ทารกได้ เช่น ทารกคลอดตาย น้ำหนักแรกเกิดต่ำ พัฒนาการล่าช้า ความผิดปกติของโครงกระดูก ผื่นผิวหนัง และความเสียหายต่ออวัยวะต่าง ๆ เช่น สมอง ตา ตับ และหัวใจ การตรวจพบและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะในระยะเริ่มต้นในระหว่างตั้งครรภ์สามารถป้องกันโรคซิฟิลิสแต่กำเนิดและภาวะแทรกซ้อนได้

แม้ว่าปัจจุบันซิฟิลิสจะยังไม่มีวัคซีนป้องกันแต่สามารถลดความเสี่ยงหรือหลีกเลี่ยงการติดเชื้อได้ด้วยการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย สวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ไม่สัมผัสบาดแผลของผู้อื่นการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน และหากสงสัยว่าติดเชื้อ หรือไม่แน่ใจการเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเสียแต่เนิ่น ๆ นอกจากสามารถป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นแล้วยังช่วยหยุดการลุกลามของโรคที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงตามมาในอนาคตได้อีกด้วย

บทความน่าสนใจ

Picture of แพทย์หญิง ธนวรรณ ศิริสุข

แพทย์หญิง ธนวรรณ ศิริสุข

Global Speaker and Trainer in Aesthetic Gynecology แพทย์ผู้สอนงานประชุมวิชาการ ทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก และ American Board of Cosmetic Gynecology, U.S.A. (คนแรกของไทย)

บทความใหม่

ค้นหาข้อมูล

บริการของเรา