ปวดประจำเดือนมีวิธีแก้อย่างไร ปวดแบบไหนควรระวัง

ปวดประจำเดือนมีวิธีแก้อย่างไร ปวดแบบไหนควรระวัง

อาการปวดประจำเดือนแม้จะเป็นเรื่องปกติสำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดและทุกข์ทรมานสำหรับผู้หญิงทุกคนอีกด้วย ใครไม่เคยปวดประจำเดือนไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทรมานแค่ไหน บางคนปวดจนไม่สามารถทำอะไรได้เลย ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน หลายคนหันไปพึ่งยาแก้ปวด หรือวิธีอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือหลักวิชาการทางการแพทย์ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมเป็นผลที่ตามมา สำหรับบทความนี้จะมาอธิบายให้ได้ทราบกันอย่างละเอียดว่าอาการปวดประจำเดือนเกิดจากสาเหตุใด อาการปวดประจำเดือนมีวิธีแก้มีอะไรบ้าง และปวดประจำเดือนแบบไหนต้องระวัง เพื่อที่ว่าจะได้รู้เท่าทันสถานการณ์และหลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงที่อาจตามมาในภายหลัง

ปวดประจำเดือน เกิดจากสาเหตุใด

อาการปวดประจำเดือนเกิดจากการหดตัวของมดลูกในขณะที่เยื่อบุมดลูกหลุดลอกในระหว่างมีรอบเดือน การหดตัวที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากสารเคมีคล้ายฮอร์โมนที่เรียกว่า โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำงานทางสรีรวิทยาต่าง ๆ เช่น การไหลเวียนของเลือด การเกิดลิ่มเลือด รวมถึงการอักเสบ ในช่วงมีประจำเดือนสารนี้จะถูกผลิตขึ้นในปริมาณที่สูงขึ้น เพื่อกระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก ยิ่งมดลูกบีบตัวมากเท่าไร อาการปวดก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ระดับโพรสตาแกลนดินที่สูงยังอาจทำให้เกิดอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย อาทิ คลื่นไส้ ปวดหัว และท้องเสียได้ นอกจากนี้ปัจจัยอื่น ๆ เช่น โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอกในมดลูก หรือโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบก็อาจทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรงได้เช่นกัน

 

ปวดประจำเดือน กินยาอะไรดี

ปวดประจำเดือน มีอาการแบบไหน

อาการปวดประจำเดือน ความรู้สึกและลักษณะอาการของแต่ละคนอาจมีความแตกต่างกันไป แต่โดยปกติแล้วจะมีลักษณะ ดังนี้

  • ปวดไม่เป็นจังหวะ คาดเดาอาการที่แน่นอนไม่ได้
  • มักปวดจากน้อย ๆ แล้วค่อย ๆ รุนแรงขึ้น
  • ปวดถี่ เนื่องจากมดลูกบีบตัว ส่วนใหญ่ 4 – 5 ครั้ง ระหว่าง 10 นาที
  • ปวดคล้ายกับการปวดเวลาคลอดบุตร แต่อาจไม่รุนแรงเท่า

อาการปวดประจำเดือนแบ่งเป็นกี่ประเภท

อาการปวดประจำเดือนมี 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ อาการปวดแบบปฐมภูมิ และอาการปวดแบบทุติยภูมิ

  • อาการปวดประจำเดือนแบบปฐมภูมิ (Primary)

อาการปวดประจำเดือนแบบปฐมภูมิ เป็นอาการปวดที่ได้พบบ่อยที่สุดและมักเกิดขึ้นหลังจากมีประจำเดือนครั้งแรก เกิดจากการผลิตสารโพรสตาแกลนดิน ซึ่งส่งผลให้มดลูกบีบตัวอย่างรุนแรง อาการปวดมักเริ่มก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือนและอาจคงอยู่เป็นเวลาไม่กี่วันและหายได้เองภายใน 12 ถึง 72 ชั่วโมง อาการปวดจะมีลักษณะเป็นตะคริวที่ท้องน้อย บางทีอาจร้าวไปที่หลังส่วนล่างและต้นขาได้เช่นกัน

  • อาการปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ (Secondary)

อาการปวดประเภทนี้เกิดจากภาวะอื่น เช่น โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอกในมดลูก หรือโรคอักเสบในอุ้งเชิงกราน อาการปวดมักมากขึ้นตามอายุหรือปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ และกินเวลานานกว่าอาการปวดแบบปฐมภูมิ อาการปวดอาจเกิดขึ้นได้แม้ในช่วงนอกรอบการมีประจำเดือน (ปวดก่อนประจำเดือนจะมา หรือหลังประจำเดือนหมดไปแล้วยังไม่หาย) และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ เลือดออกมากผิดปกติ หรือปวดขณะมีเพศสัมพันธ์

วิธีปฏิบัติตนเมื่อปวดประจำเดือน

หากต้องการบรรเทาอาการปวดประจำเดือน สามารถใช้วิธีแบบธรรมชาติที่ทำได้ง่ายด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้แพทย์สั่งจ่ายยาได้ดังนี้

การบำบัดด้วยความร้อน : ใช้แผ่นความร้อนหรือขวดน้ำร้อนประคบบริเวณท้องน้อยหรือหลัง ความร้อนจะช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูกและบรรเทาอาการปวดได้ รวมถึงการอาบน้ำอุ่นซึ่งก็จะช่วยบรรเทาและผ่อนคลายร่างกายได้เป็นอย่างดี

ยาแก้ปวดที่ซื้อเองได้ : ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน หรือ นาพรอกเซน มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดประจำเดือน ช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายจากอาการปวดได้มากขึ้น

การปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร : ควรลดการบริโภคเกลือและคาเฟอีน เพื่อหลีกเลี่ยงอาการท้องอืดและการกักเก็บน้ำซึ่งอาจทำให้อาการปวดแย่ลง และควรรับประทานอาหารที่มีแมกนีเซียม สูง (เช่น ผักใบเขียว กล้วย และอัลมอนด์) ซึ่งช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายได้ รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 (พบมากในปลา เช่น ปลาแซลมอน หรือเมล็ดแฟลกซ์) อาจช่วยลดการอักเสบและอาการปวดได้

เคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ : การออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน ฝึกโยคะ หรือการยืดเส้นยืดสาย สามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดอาการตะคริวได้ การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดได้เช่นกัน

การดื่มน้ำ : การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยลดอาการท้องอืดซึ่งอาจทำให้ตะคริวรุนแรงขึ้นได้ นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของโลหิตอีกด้วย

ชาสมุนไพร : การดื่มชาสมุนไพร เช่น ชาขิง หรือ ชาเปปเปอร์มินต์ มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและคลายกล้ามเนื้อ

การกดจุดหรือการนวด : การกดจุดบริเวณ ท้องน้อย หลังส่วนล่าง และเท้า สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ หรือคุณอาจลองนวดตัวเองโดยถูบริเวณท้องส่วนล่างเบา ๆ เป็นวงกลม เพื่อคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ

อาหารเสริม : อาหารเสริม วิตามินดี แมกนีเซียม วิตามินอี หรือแคลเซียม สามารถช่วยควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและลดการอักเสบได้

 

ปวดประจำเดือน กินยาอะไรดี

ปวดประจำเดือน กินยาอะไรดี

คุณสามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ โดยกลุ่มยาแก้ปวดที่นิยมใช้แบ่งออกเป็น

  1. ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) : ยาเหล่านี้มักแนะนำให้ใช้กับอาการปวดประจำเดือน เช่น ไอบูโพรเฟน (Advil, Motrin) หรือ นาพรอกเซน (Aleve) ตัวยาจะช่วยลดการผลิตโพรสตาแกลนดิน ซึ่งเป็นสาเหตุของการบีบตัวของมดลูกและการอักเสบ
  2. อะเซตามิโนเฟน : ยาแก้ปวดชนิดนี้อาจรู้จักกันในชื่อ ไทลินอล คุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดเกร็งเล็กน้อยได้ แม้ว่าจะมีประสิทธิผลน้อยกว่า NSAID
  3. การคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน : ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน, IUD ที่มีฮอร์โมน หรือแผ่นแปะฮอร์โมน สามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ โดยการควบคุมหรือลดการไหลของประจำเดือน และลดการผลิตโพรสตาแกลนดินของร่างกาย
  4. ยาแก้ปวดที่ต้องสั่งโดยแพทย์ : ในกรณีที่มีอาการปวดประจำเดือนรุนแรง แพทย์อาจสั่งยาแก้ปวดที่แรงกว่านั้น หากยาที่ซื้อเองไม่ได้ผล
  5. ยาคลายกล้ามเนื้อ : ในบางกรณี อาจมีการกำหนดให้ใช้ยาที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่กระตุก เช่น ไดไซโคลมีน เพื่อบรรเทาอาการตะคริว ซึ่งก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดให้ลดลงได้

**ยาบางชนิดจำเป็นต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ ขึ้นอยู่กับระดับความแรงของตัวยา

ปวดประจำเดือนแบบไหนเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง

แม้ว่าอาการปวดประจำเดือน (dysmenorrhea) จะเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้หญิง แต่การปวดบางประเภทอาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่แฝงอยู่ได้ ต่อไปนี้คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าอาการปวดประจำเดือนของคุณอาจผิดปกติและต้องได้รับการรักษาจากแพทย์

  • ปวดอย่างรุนแรงจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ หรือไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวด
  • อาการปวดยิ่งแย่ลง หรือปวดบ่อยขึ้น เมื่อคุณอายุมากขึ้น อาจเป็นสัญญาณของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิด
  • อาการปวดนอกรอบประจำเดือน (ก่อนหรือหลัง) อาจบ่งบอกถึงโรคซีสต์ในรังไข่ หรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ หรือเนื้องอกในมดลูก
  • มีเลือดมากผิดปกติจนล้นผ้าอนามัยหรือต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกชั่วโมง อาจเป็นสัญญาณของเนื้องอกในมดลูก ติ่งเนื้อหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
  • อาการปวดที่มาพร้อมกับอาการท้องผูกท้องเสีย คลื่นไส้ ปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะลำบาก
  • มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบความเจ็บปวดอย่างกะทันหัน เช่น ตำแหน่งที่ปวด ระดับความรุนแรง อาจหมายถึงความเสี่ยงของโรคซีสต์ในรังไข่ หรือโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

สรุป

อาการปวดประจำเดือนแม้จะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคน แต่สามารถบรรเทาได้ด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น การประคบร้อน การรับประทานยาแก้ปวดที่เหมาะสม ออกกำลังกายเบา ๆ หรือการปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร รู้จักวิธีรับมือ รูปแบบอาการที่เกิดขึ้น รวมถึงอาการปวดที่เป็นสัญญาณอันตรายต่อสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณผ่านพ้นช่วยเวลาที่ยากลำบากในแต่ละเดือนไปได้อย่างไม่ต้องกังวล หากอาการปวดรุนแรงขึ้นจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ หรือมีอาการที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม

บทความน่าสนใจ

Picture of แพทย์หญิง ธนวรรณ ศิริสุข

แพทย์หญิง ธนวรรณ ศิริสุข

Global Speaker and Trainer in Aesthetic Gynecology แพทย์ผู้สอนงานประชุมวิชาการ ทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก และ American Board of Cosmetic Gynecology, U.S.A. (คนแรกของไทย)

บทความใหม่

ค้นหาข้อมูล

บริการของเรา