มะเร็งปากมดลูก ภัยร้ายใกล้ตัวที่ผู้หญิงไม่ควรมองข้าม
มะเร็งปากมดลูก เป็นปัญหาสุขภาพทางเพศที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทั่วโลก มักเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีอาการในระยะเริ่มต้น มะเร็งชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ผิดปกติในปากมดลูกหรือส่วนล่างของมดลูกเติบโตอย่างควบคุมไม่ได้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของมะเร็ง การติดเชื้อไวรัสแปปิโลมา Human Papilloma Virus (HPV) ภาษาไทยเรียกว่า “ไวรัสหูด” เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด แต่โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการตรวจคัดกรองและการฉีดวัคซีน HPV เป็นประจำ หากตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และได้รับการรักษาที่เหมาะสม จะสามารถพยากรณ์โรคได้ดีขึ้นอย่างมาก ปัจจุบันเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยเป็นอันดับต้น ๆ โดยส่วนใหญ่พบได้ตั้งแต่อายุ 35-60 ปี ดังนั้นการตระหนักและให้ความรู้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดผลกระทบของโรคนี้ บทความนี้ GENITIQUE CLINIC จะมาไขความกระจ่างให้ได้ทราบกันว่า มะเร็งปากมดลูกเกิดจากอะไร สัญญาณเตือน อาการ และวิธีรักษา ติดตามได้ในบทความนี้ค่ะ
มะเร็งปากมดลูก เกิดจากอะไร
มะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Human papillomavirus (HPV) สายพันธุ์หนึ่งโดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูง HPV เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV และแม้ว่าผู้คนจำนวนมากอาจสัมผัสกับไวรัสดังกล่าว แต่ในกรณีส่วนใหญ่ระบบภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดไวรัสได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย อย่างไรก็ตามในบางกรณีไวรัสยังคงอยู่ ส่งผลให้เซลล์ปากมดลูกเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจพัฒนากลายเป็นมะเร็งในที่สุด สำหรับปัจจัยที่กระตุ้นให้มีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกมีดังนี้
-
ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ภาวะต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อ HIV หรือการใช้ยาภูมิคุ้มกันเป็นเวลานาน อาจทำให้ร่างกายต่อสู้กับภาวะมะเร็งปากมดลูกได้ยากขึ้น
-
การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย
การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV โดยเฉพาะการป้องกันที่ผิดวิธี
-
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ (STIs)
การติดเชื้อ เช่น หนองในและซิฟิลิส อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการคงอยู่ของไวรัส HPV และลุกลามกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้
-
การใช้ยาคุมกำเนิดแบบรับประทานเป็นเวลานาน
การศึกษาบางกรณีชี้ให้เห็นว่า การใช้ยาคุมกำเนิดแบบรับประทานเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงเล็กน้อยต่ออาการป่วย
-
การสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ส่งผลให้มีความสามารถในการกำจัด HPV น้อยลง
-
การมีคู่นอนหลายคน
การมีคู่นอนหลายคน จะเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ HPV ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
-
ประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งปากมดลูก
ผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งปากมดลูก เช่น มีแม่หรือพี่สาวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ มีความเสี่ยงสูงกว่า
-
การสัมผัสกับไดเอทิลสทิลเบสทรอล (DES)
ผู้หญิงที่แม่ใช้ DES (เอสโตรเจนสังเคราะห์) ในระหว่างตั้งครรภ์ในช่วงปี ค.ศ. 1950 ถึง 1970 เพื่อป้องกันการแท้งบุตร อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
-
การใช้ IUD (อุปกรณ์คุมกำเนิดชนิดใส่ในมดลูก) ในระยะยาว
งานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ระหว่างการใช้ IUD ในระยะยาวกับความเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าหลักฐานจะยังไม่ชัดเจนก็ตาม
-
การขาดการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ
ผู้หญิงที่ไม่ได้ตรวจแปปสเมียร์หรือตรวจ HPV อย่างสม่ำเสมอ มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกสูงขึ้น เนื่องจากอาจไม่สามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงก่อนเป็นมะเร็งที่ปากมดลูกได้
-
การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้องและโรคอ้วน
การรับประทานอาหารที่มีผักและผลไม้ไม่เพียงพอ ร่วมกับโรคอ้วน อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และส่งผลให้มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น
มะเร็งปากมดลูกอาการในแต่ระยะ
อาการของมะเร็งปากมดลูกอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระยะของโรค ในระยะเริ่มแรกมักไม่แสดงอาการที่สังเกตได้ ดังนั้นการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอจึงมีความสำคัญ เมื่อโรคดำเนินไป อาการต่าง ๆ จะยิ่งเด่นชัดมากขึ้น ต่อไปนี้คือรายละเอียดของอาการในแต่ละระยะ
ระยะเริ่มต้น (ระยะที่ 0 ถึง ระยะที่ 1)
มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกอาจไม่มีอาการใด ๆ ที่สังเกตได้ อย่างไรก็ตามหากมีอาการเกิดขึ้นอาการมักมี ดังนี้
- เลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติอาจเกิดขึ้นในระหว่างรอบเดือน หลังมีเพศสัมพันธ์ หรือหลังวัยหมดประจำเดือน
- ตกขาวผิดปกติ ตกขาวอาจเป็นน้ำสีชมพู หรือมีกลิ่นเหม็น
- ความรู้สึกอึดอัดหรือเจ็บปวดขณะมีกิจกรรมทางเพศ
ระยะที่ 2 (มะเร็งแพร่กระจายเกินปากมดลูกแต่ไม่ถึงผนังอุ้งเชิงกรานหรือช่องคลอดส่วนล่าง)
- เลือดออกทางช่องคลอดมากขึ้น ประจำเดือนมามากขึ้น หรือมีเลือดออกกระปริดกระปรอยบ่อยขึ้น
- อาการปวดอุ้งเชิงกราน อาการปวดแบบตื้อ ๆ หรือเจ็บจี๊ด ๆ บริเวณอุ้งเชิงกราน มักรู้สึกที่ท้องน้อยหรือหลัง
- ประจำเดือนมามากหรือยาวนานขึ้นผิดปกติ
- ความรู้สึกไม่สบายขณะปัสสาวะ หรือรู้สึกปวดปัสสาวะมากขึ้น อาจเกิดจากมะเร็งที่เนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง
ระยะที่ 3 (มะเร็งแพร่กระจายไปยังส่วนล่างของช่องคลอดหรือผนังอุ้งเชิงกรานและอาจอุดตันท่อไต หรือต่อมน้ำเหลือง)
- อาการบวมบริเวณขา เกิดจากโรคมะเร็งไปอุดกั้นการไหลเวียนของน้ำเหลืองหรือไปกดทับเส้นประสาทและหลอดเลือด
- อาการปัสสาวะหรือถ่ายลำบากเนื้องอกอาจกดทับกระเพาะปัสสาวะหรือทวารหนัก ทำให้เกิดความไม่สบายหรือเกิดการอุดตัน
- อาการปวดหลังส่วนล่าง อาจเกิดจากมะเร็งแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อรอบบริเวณอุ้งเชิงกราน
- มีเลือดในปัสสาวะหรืออุจจาระ บ่งบอกถึงโรคที่อยู่ในขั้นที่รุนแรงมากขึ้น
ระยะที่ 4 (มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะที่อยู่ห่างไกล เช่น กระเพาะปัสสาวะ ทวารหนัก ปอด ตับ หรือกระดูก หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย)
- อาการปวดอุ้งเชิงกรานรุนแรง และต่อเนื่องมากขึ้น
- ปัญหาทางเดินปัสสาวะและลำไส้รุนแรง การอุดตันของกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ส่งผลให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะลำบาก หรืออาการท้องผูก
- อาการอ่อนล้าและน้ำหนักลด โรคมะเร็งในระยะลุกลามอาจทำให้เกิดอาการอ่อนล้าอย่างมากและน้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ
- อาการบวมที่ขา ท้อง หรือบริเวณอื่น ๆ อาจเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากโรคที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง
- หายใจลำบากหรือเจ็บหน้าอก หากมะเร็งได้แพร่กระจายไปยังปอดหรืออวัยวะอื่น
สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ อาการต่าง ๆ เหล่านี้หลายประการอาจเกี่ยวข้องกับภาวะอื่น ๆ ได้ ดังนั้นการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการตรวจแปปสเมียร์หรือการทดสอบ HPV จึงมีความจำเป็นเพื่อตรวจพบในระยะเริ่มต้น แม้ว่าจะไม่มีอาการใด ๆ ก็ตาม
การป้องกันมะเร็งปากมดลูก
แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีตัวยาสำหรับการรักษาการติดเชื้อไวรัสแปปิโลมา Human Papilloma Virus (HPV) อันเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของโรคมะเร็งปากมดลูกได้ก็ตาม แต่หญิงและชายสามารถป้องกันเชื้อดังกล่าวได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
-
การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV
ไวรัส Human Papillomavirus (HPV) เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก วัคซีน เช่น Gardasil 9 สามารถป้องกันเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่อันตรายที่สุดได้ โดยเฉพาะเมื่อฉีดก่อนสัมผัสเชื้อ (โดยปกติแนะนำสำหรับเด็กก่อนวัยรุ่น แต่สามารถฉีดได้จนถึงอายุ 45 ปี)
-
การตรวจคัดกรองเป็นประจำ
สตรีควรเริ่มการตรวจคัดกรองตั้งแต่อายุ 21 ปี โดยตรวจแปปสเมียร์เป็นประจำทุก 3 ปี หรือตรวจร่วมทั้งแปปสเมียร์และไวรัส HPV ทุก 5 ปี หลังจากอายุ 30 ปีเป็นต้นไป
-
การปฏิบัติทางเพศที่ปลอดภัย
เนื่องจาก HPV ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ ก็จะสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้
-
เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงจะช่วยให้ร่างกายกำจัดการติดเชื้อ HPV ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่มากเกินไป จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรงขึ้นได้
มะเร็งปากมดลูก วิธีรักษา
โดยทั่วไปการรักษามะเร็งปากมดลูกขึ้นอยู่กับระยะของโรค และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ปกติแล้วเมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกในระยะที่ 1 ยังไม่มีการแพร่กระจายของเชื้อก็มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ 80-90% ทั้งการผ่าตัดและคว้านปากมดลูกออก ต่อไปนี้คือทางเลือกในการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
-
การผ่าตัด
การผ่าตัดมักเป็นแนวทางการรักษาเบื้องต้นของระยะเริ่มต้น (ระยะ 0 ถึงระยะที่ 2) เป้าหมายคือการตัดเอาเนื้อเยื่อมะเร็งออกโดยยังคงรักษาเนื้อเยื่อที่สมบูรณ์เอาไว้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งสามารถแบ่งชนิดของการผ่าตัดออกเป็นดังนี้
การตัดชิ้นเนื้อแบบกรวย (cone biopsy) : จะทำการตัดเนื้อเยื่อที่ผิดปกติที่มีลักษณะเป็นรูปกรวยออกจากปากมดลูก โดยทั่วไปแล้วขั้นตอนนี้จะใช้ในกรณีมะเร็งระยะเริ่มต้นหรือรอยโรคก่อนเป็นมะเร็ง (ระยะ 0)
การผ่าตัดมดลูกแบบธรรมดา : คือ การผ่าตัดเอาเฉพาะมดลูกและปากมดลูกออกเท่านั้น โดยปกติจะทำกับมะเร็งระยะเริ่มต้น
การผ่าตัดมดลูกแบบรุนแรง : การตัดมดลูก ปากมดลูก ส่วนหนึ่งของช่องคลอด และเนื้อเยื่อโดยรอบออก วิธีนี้ใช้สำหรับมะเร็งปากมดลูกในระยะลุกลาม (ระยะ IB ถึงระยะ II)
การตัดปากมดลูก : การตัดปากมดลูกและส่วนบนของช่องคลอดออกโดยยังคงมดลูกไว้ สำหรับสตรีที่ต้องการรักษาความสมบูรณ์ของมดลูกไว้ ถือเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับระยะเริ่มต้น
การผ่าตัด ขยายอุ้งเชิงกราน : การผ่าตัดที่ครอบคลุมมากกว่าที่ใช้ในกรณีของมะเร็งปากมดลูกที่กลับมาเป็นซ้ำ โดยอาจต้องเอาอวัยวะหลายส่วนในบริเวณอุ้งเชิงกรานออก รวมทั้งกระเพาะปัสสาวะ ช่องคลอด ทวารหนัก และส่วนต่าง ๆ ของลำไส้
-
การรักษาด้วยรังสี
การบำบัดด้วยรังสีใช้รังสีเอกซ์พลังงานสูงหรือรังสีรูปแบบอื่น เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งหรือทำให้เนื้องอกหดตัว อาจใช้เพียงอย่างเดียวหรือใช้ร่วมกับการผ่าตัดและเคมีบำบัด ขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็ง
การบำบัดด้วยรังสีภายนอก (EBRT) : การฉายรังสีจะมุ่งไปที่บริเวณอุ้งเชิงกรานจากภายนอกร่างกาย
การบำบัดด้วยรังสีภายในร่างกาย : วิธีการฉายรังสีภายในร่างกาย โดยจะฉายรังสีโดยตรงเข้าไปในเนื้องอกหรือใกล้กับเนื้องอก วิธีนี้มักใช้ร่วมกับการฉายรังสีภายนอก
*โดยทั่วไปการบำบัดด้วยรังสีจะใช้กับมะเร็งปากมดลูกในระยะลุกลาม (ระยะที่ 2 ถึงระยะที่ 4) หรือใช้หลังการผ่าตัดเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่
-
การให้เคมีบำบัด
เคมีบำบัดเป็นการใช้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง โดยมักใช้ร่วมกับการฉายรังสี โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม (ระยะที่ 3 และ 4) นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อลดขนาดเนื้องอกก่อนการผ่าตัดหรือรักษามะเร็งที่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้อีกด้วย ซิสแพลตินเป็นยาเคมีบำบัดทั่วไปที่ใช้รักษ อาจใช้ร่วมกับยาอื่น เช่น คาร์โบแพลติน แพคลีแทกเซล หรือโทโปเทแคน
-
การบำบัดแบบตรงเป้าหมาย
การบำบัดแบบกำหนดเป้าหมายจะเน้นที่โมเลกุลหรือเส้นทางเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของเซลล์มะเร็ง เบวาซิซูแมบ (Bevacizumab) เป็นยาแบบกำหนดเป้าหมายที่ยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่ส่งเลือดไปยังเนื้องอก (การสร้างหลอดเลือดใหม่) การบำบัดนี้มักใช้กับมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม หรือกลับมาเป็นซ้ำ โดยปกติจะใช้ร่วมกับเคมีบำบัด
-
ภูมิคุ้มกันบำบัด
ภูมิคุ้มกันบำบัดช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันจดจำและต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้ Pembrolizumab (Keytruda) เป็นยาภูมิคุ้มกันบำบัดที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการรักษามะเร็งปากมดลูกในระยะลุกลามหรือกลับมาเป็นซ้ำ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกที่มีโปรตีนบางชนิด เช่น PD-L1
-
การดูแลแบบประคับประคอง
สำหรับผู้ป่วยระยะลุกลามที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การดูแลแบบประคับประคองจะเน้นที่การควบคุมอาการและปรับปรุงคุณภาพชีวิต ซึ่งอาจรวมถึงการบรรเทาอาการปวด การจัดการผลข้างเคียง และการสนับสนุนทางอารมณ์
-
การผสมผสานการรักษา
ในหลายกรณี อาจใช้การรักษาหลายรูปแบบร่วมกัน ตัวอย่างเช่น การผ่าตัดอาจตามด้วยการฉายรังสีและเคมีบำบัด โดยเฉพาะถ้ามะเร็งแพร่กระจายเกินปากมดลูกแล้ว หรือหากมีความเสี่ยงสูงที่มะเร็งจะกลับมาเป็นซ้ำ
-
การดูแลติดตาม
หลังการรักษา ต้องมีนัดติดตามอาการเป็นประจำเพื่อติดตามอาการซ้ำและจัดการผลข้างเคียงใด ๆ จากการรักษา
สรุป
มะเร็งปากมดลูก ภัยร้ายที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทยเป็นอันดับ 5 ปัจจุบันพบผู้ป่วยรายใหม่สูงถึง 5,000 คน/ปี (15 คน/วัน) และมีอัตราการเสียชีวิตสูงสุด 6 คน/วัน การรู้จักป้องกันสาเหตุของโรคด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV การตรวจคัดกรองเป็นประจำ การปฏิบัติทางเพศที่ปลอดภัย รวมถึงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายถือเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ หากไม่แน่ใจควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที เพราะการรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ ช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาดได้