หนองในหายเองได้ไหม

หนองในหายเองได้ไหม รู้ทันอาการ สาเหตุและวิธีป้องกันอย่างถูกวิธี

เป็นหนองในหายเองได้ไหม หนองในเทียม หนองในผู้หญิง ได้กลายเป็นคำค้นหาใน Google ที่มีผู้คนให้ความสนใจจำนวนมาก ซึ่งเป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยป่วยเป็นโรคหนองในแต่ไม่กล้าปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษา โดยหวังว่าจะหาวิธีรักษาด้วยตนเอง ซึ่งถือเป็นความคิดที่ผิดเพราะอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนที่รุนแรง และความเจ็บปวดเรื้อรังจนยากแก่การรักษาให้หาย ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อตัวคุณเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคู่ครองด้วย บทความนี้จะมาไขคำตอบว่าเป็นหนองในสามารถหายเองได้หรือไม่ บอกถึงสาเหตุของการเกิดโรค อาการ รวมทั้งวิธีป้องกันและรักษาอย่างถูกวิธี มาติดตามกันได้ในบทความนี้ค่ะ

หนองในเกิดจากสาเหตุใด

โรคหนองใน (Gonorrhea) เกิดจากร่างกายได้รับเชื้อแบคทีเรีย ไนซีเรีย โกโนเรีย (Neisseria gonorrhoeae) แบคทีเรียชนิดนี้เจริญเติบโตได้ดีในที่ชื้นและอบอุ่นอย่างเช่นเยื่อเมือกของระบบสืบพันธุ์ รวมถึงปากมดลูก มดลูก ท่อนำไข่ในสตรี และท่อปัสสาวะทั้งในชายและหญิง นอกจากนี้ยังสามารถติดเชื้อที่เยื่อเมือกภายในช่องปาก คอ ตา และทวารหนักได้ด้วย วิธีแพร่เชื้อหลัก ๆ คือ การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ผ่านทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก (ออรัลเซ็กซ์) หรือการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากร่างกายของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่นช่องคลอด หรือเลือด ข้อควรรู้ก็คือเชื้อหนองในสามารถแพร่กระจายได้แม้ว่าผู้ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการใด ๆ ซึ่งมักเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะหนองในผู้หญิง นอกจากนี้โรคหนองในสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกได้ในระหว่างการคลอดบุตร ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงต่อทารกได้เช่นกัน

หนองใน มีกี่ประเภท

หนองใน มีกี่ประเภท

โรคหนองในคือการติดเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae (หนองในแท้) ซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ทำให้คนส่วนมากคิดว่าหนองในเป็นโรคหรือการติดเชื้อที่เกิดบริเวณอวัยวะเพศเพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วเชื้อดังกล่าวสามารถแพร่กระจายได้หลายทาง ซึ่งเป็นสาเหตุที่โรคหนองในสามารถเกิดกับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายดังต่อไปนี้

  • โรคหนองในทางเดินปัสสาวะ

เป็นรูปแบบของโรคหนองในที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์และทางเดินปัสสาวะ ในผู้ชายมักทำให้เกิดโรคท่อปัสสาวะอักเสบ มีอาการแสบร้อนขณะปัสสาวะ และมีของเหลวไหลออกจากอวัยวะเพศ ขณะที่ในผู้หญิงอาจติดเชื้อที่ปากมดลูก (ปากมดลูกอักเสบ) ซึ่งส่งผลให้มีตกขาวเพิ่มขึ้น หรือมีอาการเจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์

  • โรคหนองในทวารหนัก

เกิดขึ้นเมื่อการติดเชื้อส่งผลต่อทวารหนัก จากการร่วมเพศทางทวารหนักหรือการแพร่กระจายของเชื้อจากบริเวณอวัยวะเพศ อาจมีอาการปวดทวารหนัก มีของเหลวไหลออกมา มีเลือดออก และรู้สึกไม่สบายระหว่างการเคลื่อนไหวของลำไส้ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการใด ๆ ได้เช่นกัน

  • โรคหนองในลำคอ

หนองในประเภทนี้ส่งผลต่อลำคอและมักได้มาจากการทำออรัลเซ็กซ์ ผู้ติดเชื้อมักไม่แสดงอาการใด ๆ  แต่บางครั้งอาจทำให้เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองบวม และรู้สึกเจ็บเวลากลืนอาหาร

  • โรคหนองในตา

โรคหนองในสามารถติดเชื้อที่ดวงตาได้ และอาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่าเยื่อบุตาอักเสบจากหนองใน กรณีนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย และมักเกิดขึ้นจากการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวที่ติดเชื้อ อาการต่าง ๆ ได้แก่ อาการตาแดง ปวด และมีของเหลวไหลออกจากดวงตา

  • โรคหนองในแท้แบบแพร่กระจาย

โรคหนองในแท้แบบแพร่กระจาย Disseminated Gonococcal Infection (DGI) คือการติดเชื้อกระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะทางระบบที่รุนแรงยิ่งขึ้น DGI อาจทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น มีไข้ ปวดข้อและบวม (ข้ออักเสบ) รอยโรคที่ผิวหนัง และอาการทางระบบอื่น ๆ ถือเป็นภาวะร้ายแรงที่ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ทันที

หนองในเทียม คืออะไร

หนองในเทียม (Chlamydia) คือ โรคหนองในเช่นเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า คลาไมเดีย ทราโคมาทิส (Chlamydia Trachomatis) เป็นการติดเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันเหมือนกับหนองในแท้ แต่เป็นเชื้อแบคทีเรียคนละตัว ผู้ติดเชื้อมักไม่มีอาการหรือมีอาการรุนแรงน้อยกว่าหนองในแท้ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (Neisseria gonorrhoeae) นอกจากนี้หนองในเทียมยังอาจเกิดจากการติดเชื้อรา เชื้อโปรโตซัว หรือเชื้อไวรัสก็ได้ หนองในเทียมมีระยะเวลาการฟักตัวของเชื้อมากกว่า 10 วันขึ้นไป ขณะที่หนองในแท้จะมีระยะฟักตัว 3-5 วันเท่านั้น

หนองในแท้ อาการเป็นยังไง

หนองในแท้ อาการเป็นยังไง

ผู้หญิง

  • มีประจำเดือนผิดปกติ
  • เกิดภาวะท่อปัสสาวะและปากมดลูกอักเสบ
  • มีหนองไหลออกมาจากปากมดลูก
  • ตกขาวมีสีหรือกลิ่นผิดปกติ
  • เจ็บกระดูกเชิงกรานเวลามีเพศสัมพันธ์
  • มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ คอแห้ง
  • หากลุกลามไปที่มดลูกหรือท่อรังไข่อาจทำให้เป็นหมันได้

ผู้ชาย

  • มีหนองลักษณะข้นไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ
  • ปัสสาวะติดขัด ท่อปัสสาวะอักเสบ แสบมากเมื่อปัสสาวะ
  • อาจมีไข้ ปวดตามเนื้อตัว หรือเจ็บคอ คอแห้ง
  • ในกรณีเชื้อแพร่กระจายอาจมีอาการปวดบวมอัณฑะ และอาจส่งผลให้มีบุตรยากในระยะยาว

หนองในเทียม อาการเป็นยังไง

ผู้หญิง

ผู้ชาย

  • มักมีมูกเหลือง ๆ ไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ
  • ปัสสาวะแสบขัด แสบเวลาปัสสาวะ อย่างไรก็ตามอาการจะไม่รุนแรงเท่าหนองในแท้

วิธีป้องกันการติดเชื้อหนองใน

  • มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย (Safe sex) ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • มีคู่นอนคนเดียวโดยที่ไม่มีเชื้อทั้งคู่
  • รักษาความสะอาดอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ
  • ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ

การปฏิบัติตนขณะป่วย

  • งดมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
  • งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด
  • แจ้งคู่ของคุณให้ทราบ เพื่อเข้ารับการตรวจโรคจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโดยเร็วที่สุด
  • ทำความสะอาดอวัยวะเพศและบริเวณใกล้เคียงอยู่เสมอ
  • ไม่ควรซื้อยารักษาเอง ควรเข้ารับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง หรือการดื้อยาได้
  • รับการตรวจตามนัดทุกครั้ง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
  • เมื่อหายดีแล้ว หมั่นตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการกลับมาติดเชื้อซ้ำได้อย่างมาก

ภาวะแทรกซ้อนจากการเป็นหนองใน

  • มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวี (เอดส์) ง่ายขึ้น
  • มีบุตรยาก เป็นหมัน หรืออาจตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • ปวดอุ้งเชิงกราน/ปวดท้องเรื้อรัง
  • หากเกิดการติดเชื้อเข้ากระดูก หรือกระแสเลือด อาจเสียชีวิตได้

ใครบ้างที่ควรตรวจหาเชื้อ

  • มีพฤติกรรมชอบมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
  • มีพฤติกรรมชอบทำออรัลเซ็กซ์
  • เปลี่ยนคู่นอนเป็นประจำ
  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย

สัญญาณของการติดเชื้อหนองใน

  • ในผู้ชายจะมีอาการปัสสาวะขัด แสบ รวมถึงมีหนองไหลจากท่อปัสสาวะ
  • หนองในผู้หญิง จะมีตกขาวผิดปกติ

ติดเชื้อหนองในหายเองได้ไหม

หนองในไม่สามารถหายเองได้ ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอาการอย่างละเอียด และรับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น อีกทั้งไม่แนะนำให้ซื้อยากินเอง เพราะอาจเกิดการดื้อยา หรือรักษาไม่ตรงกับโรค

วิธีรักษาหนองใน มีขั้นตอนอย่างไร

การรักษาโรคหนองในเกี่ยวข้องกับขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการวินิจฉัย การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ และการติดตามผล นี่คือขั้นตอนโดยละเอียด

  1. การวินิจฉัย

  • การตรวจสอบอาการ : อาการที่พบบ่อย ได้แก่ เจ็บปวดเวลาปัสสาวะ มีของเหลวไหลออกจากอวัยวะเพศ และในผู้หญิงมีอาการปวดอุ้งเชิงกราน อย่างไรก็ตามมีหลายกรณีที่ไม่มีอาการ
  • การทดสอบในห้องปฏิบัติการ : การทดสอบเพื่อยืนยันประกอบด้วยการทดสอบการขยายกรดนิวคลีอิก (NAAT) การทดสอบการเพาะเลี้ยง และ (Gram stain) การย้อมสีแบคทีเรีย เป็นวิธีที่สำคัญในศึกษาและจำแนกแบคทีเรีย อาจเก็บตัวอย่างจากบริเวณที่ได้รับผลกระทบ (เช่น ปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ ปากมดลูก ทวารหนัก หรือลำคอ)
  1. การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention, CDC) แนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะในการรักษาโรคหนองใน เนื่องจากการดื้อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น

2.1 การรักษาขั้นแรก

    • Ceftriaxone : 500 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อในครั้งเดียว
    • แนะนำให้ รับประทาน Azithromycin 1 กรัมในครั้งเดียว เพื่อเป็นการรักษาร่วมกัน ไม่รวมการติดเชื้อหนองในเทียม

2.2 สูตรทางเลือก (หากไม่มี Ceftriaxone หรือหากผู้ป่วยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง)

    • Gentamicin : 240 มก. ฉีดเข้ากล้ามในครั้งเดียว
    • Azithromycin : 2 กรัม รับประทานครั้งเดียว
  1. การติดตามผล

  • การทดสอบการรักษา : ไม่จำเป็นต้องทดสอบการรักษาเป็นประจำ (เช่น การทดสอบซ้ำหลังการรักษา) หากอาการหายไป อย่างไรก็ตาม อาจแนะนำให้ทำการตรวจซ้ำสำหรับบางกลุ่ม เช่น สตรีมีครรภ์หรือผู้ที่มีอาการต่อเนื่อง
  • การทดสอบซ้ำ : ผู้ป่วยทุกรายที่รักษาโรคหนองใน ควรได้รับการทดสอบซ้ำใน 3 เดือนหลังการรักษา เพื่อตรวจหาการติดเชื้อซ้ำ เนื่องจากอัตราการติดเชื้อซ้ำมีสูง
  1. ข้อพิจารณาพิเศษ

  • การตั้งครรภ์ : หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่แนะนำ และควรทำการทดสอบการรักษาเพื่อให้แน่ใจว่าการติดเชื้อจะหมดไป
  • การดื้อยาปฏิชีวนะ : เนื่องจากความต้านทานเพิ่มขึ้น การเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องและการปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ
  1. การติดตามภาวะแทรกซ้อน

  • ตรวจสอบภาวะแทรกซ้อน : หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา โรคหนองในอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงได้ เช่น โรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ (PID) ในผู้หญิง โรคท่อน้ำอสุจิในผู้ชาย และการติดเชื้อหนองในที่แพร่กระจาย (DGI)

หนองในกลับมาเป็นซ้ำได้ไหม

หนองในแม้จะรักษาหายแล้วก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก หากได้รับเชื้อครั้งใหม่

โรคหนองในพบมากในกลุ่มคนอายุเท่าไหร่

โรคหนองในพบได้บ่อยในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 24 ปี กลุ่มอายุนี้มีแนวโน้มที่จะมีอัตราการติดเชื้อสูงกว่า เนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น อัตราการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันที่สูงขึ้น มีคู่นอนหลายคน และการใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอ

ปัจจัยที่มีผลทำให้คนป่วยเป็นหนองในเพิ่มขึ้น

  • สถานบริการทางเพศที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นผ่านโซเชี่ยลมีเดีย ทำให้การควบคุมและป้องกันทำได้ยากขึ้น
  • ปัญหาสื่อลามกเข้าถึงเยาวชนได้ง่ายมากขึ้น
  • การมีเพศสัมพันธ์ในกลุ่มวัยรุ่นตั้งแต่อายุยังน้อยโดยขาดความรู้ในการป้องกันการติดเชื้อ
  • เปลี่ยนคู่นอนบ่อย มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

กับคำถามที่ว่า หนองในผู้หญิง หนองในเทียม หนองในหายเองได้ไหม คงได้ทราบคำตอบกันไปแล้ว การรักษาสุขภาพทางเพศให้ดีนอกจากหมั่นดูแลสุขอนามัยอย่างถูกต้อง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว การรู้จักป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากเชื้อโรคก็เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน สำหรับท่านใดที่มีข้อกังวลเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ ต้องการรักษากับผู้เชี่ยวชาญ GENITIQUE CLINIC ยินดีเป็นพื้นที่ปลอดภัย พร้อมให้คำแนะนำแก่คนไข้ที่มีปัญหาสุขภาพทางเพศให้กับหญิงและชายทุกท่าน เพราะที่นี่คือคลินิกความงามจุดซ่อนเร้นโดยเฉพาะ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทรศัพท์ 062-924-4966 หรือ Line: @Genitiqueclinic เรายินดีให้บริการอย่างใกล้ชิดทุกเคสค่ะ

บทความน่าสนใจ

Picture of แพทย์หญิง ธนวรรณ ศิริสุข

แพทย์หญิง ธนวรรณ ศิริสุข

สูตินรีแพทย์เฉพาะทาง ดูแลด้านความงามจุดซ่อนเร้นและสุขภาพเพศ
Gynecologist, providing care services in Aesthetic Gynecology and sexology, Global Speaker

บทความใหม่

ค้นหาข้อมูล

บริการของเรา