โรคแผลริมอ่อนคืออะไร สาเหตุ อาการและวิธีป้องกัน
โรคแผลริมอ่อน เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ ชื่อว่า Haemophilus Ducreyi ซึ่งทำให้เกิดแผลที่บริเวณอวัยวะเพศที่สร้างความเจ็บปวด ไม่สบายตัวและอาจทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตได้ด้วย ภาวะดังกล่าวแน่นอนว่ารบกวนการดำเนินชีวิตอย่างมาก ฉะนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของโรค สัญญาณของอาการระยะเริ่มต้น จึงเป็นทางเลือกในการรักษาที่มีความสำคัญ ซึ่งสามารถช่วยให้การรักษาได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ GENITIQUE CLINIC จะเจาะลึกทุกสิ่งที่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับโรคแผลริมอ่อน ตั้งแต่ช่องทางการติดต่อไปจนถึงวิธีการป้องกันรักษาอย่างถูกต้องมาติดตามกันได้เลยค่ะ
แผลริมอ่อนเกิดจากอะไร ติดต่อกันทางไหน
โรคแผลริมอ่อน (Chancroid) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Haemophilus Ducreyi (ฮีโมฟิลุส ดูเครย์) ซึ่งมักติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้ติดเชื้อทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรคแผลริมอ่อนจะติดเชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก แต่ก็สามารถแพร่เชื้อทางอื่นได้เช่นกัน เช่น การสัมผัสกับหนองหรือสารคัดหลั่ง เช่น เลือด น้ำอสุจิจากผู้ติดเชื้อโดยตรงผ่านทางบาดแผล เยื่อบุต่าง ๆ ที่มีรอยฉีกขาดเล็กน้อยได้ด้วย
แผลริมอ่อนอาการเป็นยังไง
อาการของโรคแผลริมอ่อนมักจะปรากฏให้เห็นภายใน 3 ถึง 10 วันหลังจากได้รับเชื้อ สำหรับอาการมีหลากหลาย อาทิ เป็นแผลที่มีลักษณะนิ่ม ขอบไม่เรียบ ก้นแผลค่อนข้างลึก บริเวณตรงกลางจะมีสีเทาอมเหลือง สำหรับบริเวณที่เป็นมักเกิดตรงอวัยวะเพศเป็นส่วนใหญ่เหมือนกับโรคซิฟิลิส ฝีมะม่วง เริม และ HIV บางรายอาจเกิดที่บริเวณขาหนีบซึ่งจะทำให้ขาหนีบโต หรือต่อมน้ำเหลืองบวมเป็นฝีขนาดใหญ่ ทำให้เวลามีเพศสัมพันธ์หรือปัสสาวะจะรู้สึกเจ็บ
ใครมีความเสี่ยงเป็นแผลริมอ่อนได้บ้าง
สามารถแบ่งบุคคลกลุ่มมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคแผลริมอ่อนได้จากไลฟ์สไตล์ ถิ่นที่อยู่ และปัจจัย
ด้านสุขภาพ ได้ดังนี้
1. บุคคลที่อยู่ในพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อ STI สูง
โรคแผลริมอ่อนพบได้บ่อยในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่จำกัด สุขอนามัยที่ย่ำแย่ และมีอัตราการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) สูง
2. ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน โดยเฉพาะกับคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแผลริมอ่อนและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ มากขึ้น
3. ผู้ที่ขายบริการทางเพศและลูกค้าของพวกเขา
เนื่องจากลักษณะงานของคนที่ขายบริการทางเพศได้เจอผู้คนจำนวนมาก ทำให้บุคคลที่มาใช้บริการมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และทำให้การแพร่กระจายของเชื้อเป็นวงกว้าง
4. ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
การมีคู่นอนหลายคนทำให้มีความเสี่ยงที่จะพบกับผู้ติดเชื้อโรคแผลริมอ่อนได้มากขึ้น
5. ผู้ที่ติดเชื้อ STI ร่วมกับคนอื่น
แผลริมอ่อนมักเกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ รวมถึง HIV แผลริมอ่อนที่เป็นอยู่สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือแพร่เชื้อ HIV ได้
6. นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีโรคระบาด
นักเดินทางที่เดินทางไปยังภูมิภาคที่มีโรคแผลริมอ่อนเป็นโรคประจำถิ่นมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีกิจกรรมทางเพศโดยไม่ได้รับการป้องกันที่เหมาะสม
7. ผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
การศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ชายมักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคแผลริมอ่อนมากกว่าผู้หญิง โดยอาจเกิดจากปัจจัยทางชีววิทยาและพฤติกรรม
เป็นโรคแผลริมอ่อน หายเองได้หรือเปล่า
โดยทั่วไปแล้วโรคแผลริมอ่อนอาจหายเองได้โดยไม่ต้องรักษา แต่ก็ไม่รับประกันว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนบางรายใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน และมักจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ แผลอาจแย่ลงหรือลุกลาม และการติดเชื้ออาจยังคงอยู่ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้ออื่น ๆ เพิ่มขึ้นเช่น HIV รวมถึงฝีในต่อมน้ำเหลือง หรือเนื้อเยื่อได้รับความเสียหายถาวร เกิดแผลขนาดใหญ่และเจ็บปวดมาก เป็นต้น
โรคแผลริมอ่อน รักษาให้หายขาดได้ไหม
โรคแผลริมอ่อนสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพที่สามารถจัดการกับเชื้อและส่งเสริมการสมานแผล เช่น อะซิโธรมัยซิน, เซฟไตรอะโซน และซิโปรฟลอกซาซินหรืออีริโทรไมซิน โดยการรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและช่วยป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ นอกจากนี้การไปพบแพทย์ช่วยให้การวินิจฉัยถูกต้องเนื่องจากโรคแผลริมอ่อนมีลักษณะคล้ายกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส หรือเริม
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคแผลริมอ่อนมีอะไรบ้าง
- แผลเรื้อรังที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำ
- การเกิดฝีที่เกิดจากการบวมของต่อมน้ำเหลือง
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น
- โรคแผลริมอ่อนที่เป็นเรื้อรังหรือไม่ได้รับการรักษาอาจทิ้งรอยแผลเป็นถาวร
อันตรายที่เกิดจากแผลริมอ่อนมีอะไรบ้าง
หากติดเชื้อแผลริมอ่อนแล้วละเลยไม่รีบทำการรักษาจนอาการลุกลาม อาจส่งผลกระทบร้ายแรงดังนี้
- ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต หรือเป็นฝีอักเสบ
- ท่อปัสสาวะทะลุ ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- มีพังผืดที่อวัยวะเพศ ส่งผลให้หนังหุ้มปลายตีบ
- รูปร่างอวัยวะเพศผิดรูป แหว่งหาย
- เพิ่มโอกาสติดเชื้อ HIV
- หากได้รับเชื้อขณะตั้งครรภ์ ทารกอาจคลอดออกมาพิการแต่กำเนิด
*ข้อแนะนำ : หากสงสัยว่าป่วยเป็นโรคแผลริมอ่อนโดยพบแผล ตุ่มแดง ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพราะอาการระยะเริ่มแรกสามารถรักษาให้หายได้เพียงรับประทานยา หากปล่อยไว้นานทำให้รักษายากและมีค่าใช้จ่ายที่สูง
แผลริมอ่อนผู้หญิงกับผู้ชายเหมือนกันไหม
โรคแผลริมอ่อนแม้ว่าการติดเชื้อนี้จะส่งผลต่อทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่การแสดงออกและอาการอาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละเพศ เนื่องจากความแตกต่างทางกายวิภาคดังนี้
ในผู้ชาย
- มีตุ่มแดงเล็ก ๆ ไม่กี่จุด
- มักเกิดบริเวณองคชาต ใต้หนังหุ้มปลาย และถุงอัณฑะ
- รู้สึกเจ็บมาก
ในผู้หญิง
- มีตุ่มแดงเล็ก ๆ ขึ้นหลายจุด
- มักเกิดที่ปากมดลูก แคมเล็ก รอบทวารหนัก และฝีเย็บ
- อาการเจ็บปวดน้อยกว่าผู้ชาย
- บางรายมีตกขาวเยอะ มีกลิ่นเหม็น
- บางรายไม่มีอาการใด ๆ
การวินิจฉัยหาเชื้อโรคแผลริมอ่อนมีกี่วิธี
ในการตรวจโรคแผลริมอ่อน แพทย์จะเริ่มจากการตรวจร่างกาย ซักประวัติ การตรวจแผลอย่างละเอียด จากนั้นแพทย์จะทำการเก็บตัวอย่างจากของเหลวบริเวณแผล เพื่อนำไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของการก่อโรค ซึ่งนิยมทำกัน 2 วิธีได้แก่ การย้อมเชื้อจากของเหลวบริเวณแผลแล้วนำไปเพาะเชื้อ และการตรวจ PCR ในห้องปฏิบัติการ ซึ่งวิธีนี้จะตรวจได้ละเอียดสามารถระบุเชื้อได้แม่นยำไม่ต้องเสียเวลาตรวจหลายครั้ง ตรวจครั้งเดียวรู้หลายเชื้อ ทั้งยังสามารถเก็บสิ่งส่งตรวจได้นานถึง 14 วัน โดยไม่มีผลต่อความแม่นยำของการตรวจ รู้ผลเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมง
การดูแลตัวเองหลังป่วยเป็นโรคแผลริมอ่อน
การดูแลรักษาแผลริมอ่อนควรทำควบคู่ไปกับการกินยา หรือผ่าตัดซึ่งจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งวิธีดูแลตนเองมีดังนี้
- รักษาความสะอาดของแผลบริเวณที่เป็น
- ใช้น้ำเกลือล้างทำความสะอาด
- หลังล้างทำความสะอาด หรืออาบน้ำให้รีบเช็ดแผลให้แห้ง
- งดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหาย
- แนะนำคู่นอนให้มาตรวจคัดกรองเพื่อป้องกัน
- เลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ หรือของหมักดองเพราะอาจทำให้แผลหายช้า
- ในกรณีรักษาแผลจนหายดีแล้ว แนะนำให้ตรวจหาเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เนื่องจากมีโอกาสป่วยมากขึ้น
แผลริมอ่อน รักษาอย่างไร
สำหรับโรคแผลริมอ่อนในรายที่อาการไม่หนัก เช่น ลักษณะแผลไม่ใหญ่มากแพทย์จะรักษาด้วยวิธีให้ทานยาปฏิชีวนะ เช่น อะซิโทรมัยซิน (Azithromycin), เซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone), อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) หรือ ไซโพรฟล็อกซาซิน (Ciprofloxacin) ร่วมกับการดูแลสุขภาพด้านอื่น ๆ เช่น งดการมีเพศสัมพันธ์ ดูแลเรื่องความสะอาด หลีกเลี่ยงความอับชื้นบริเวณที่เป็น งดดื่มแอลกอฮอล์ ฯลฯ (ไม่แนะนำให้ซื้อยามารับประทานเอง เพราะเสี่ยงต่อการดื้อยา รักษาไม่ตรงกับโรค หรือรักษาไม่หาย) ส่วนในรายที่เป็นหนัก แผลใหญ่หรือลุกลามอาจต้องใช้วิธีผ่าตัดเอาหนองออกเพื่อลดอาการเจ็บปวดและอาการบวมร่วมด้วย
แผลริมอ่อนใช้เวลารักษากี่วัน
โรคแผลริมอ่อนระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรค ขนาดของแผล หากเป็นแผลขนาดใหญ่ระยะเวลารักษาอาจใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์
วิธีป้องกันการติดเชื้อแผลริมอ่อน
- ปฏิบัติทางเพศที่ปลอดภัย ป้องกันทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- ฉีดวัคซีนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี (HBV) และ ไวรัสเอชพีวี (HPV)
- การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ ก่อนแต่งงาน โดยเฉพาะคนที่มีคู่นอนหลายคน
- การดูแลสุขอนามัยที่ดี รักษาความสะอาดอวัยวะเพศอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด และหมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ เมื่อมีประจำเดือน
- ในผู้ชายการขลิบหนังหุ้มปลายจะช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น
แผลริมอ่อนกับซิฟิลิสต่างกันอย่างไร
รูปแบบ | ซิฟิลิส | แผลริมอ่อน |
การรักษา | เพนิซิลลิน จี (ยาปฏิชีวนะหลัก) | ยาปฏิชีวนะหลายชนิด (เช่น อะซิโธรมัยซิน เซฟไตรแอกโซน) |
เชื้อก่อโรค | ทรีโปนีมาพาลลิดัม | ฮีโมฟิลัส ดูเครยี |
ระยะของโรค | ระยะปฐมภูมิ ระยะทุติยภูมิ ระยะแฝง และระยะตติยภูมิ | ไม่มีระยะที่ชัดเจน |
ลักษณะของแผล | แผลริมแข็งไม่เจ็บปวด | มีตุ่มแดง แผลอักเสบมีอาการปวด ก้นแผลลึก ขอบแผลไม่เรียบ |
หากไม่รักษา | แผลหายดีแต่การติดเชื้อยังคงดำเนินต่อไป | แผลอาจคงอยู่ แย่ลง หรือหายเป็นปกติโดยมีแผลเป็น |
อาการที่นอกเหนือจากแผลพุพอง | ผื่น มีไข้ ฯลฯ | ต่อมน้ำเหลืองบวม |
หากสงสัยว่าตนเองเป็นโรคแผลริมอ่อน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องทันที การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น การติดเชื้อ HIV หรือการเกิดฝีที่ต่อมน้ำเหลือง และยังช่วยปกป้องสุขภาพทางเพศของคุณและคู่ของคุณได้อย่างปลอดภัย รวมถึงหยุดการแพร่กระจายของเชื้อได้ทันท่วงที การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การรักษาได้ผลดีที่สุด