โรคจูบคืออะไร เรียนรู้อาการและวิธีป้องกัน

โรคจูบคืออะไร เรียนรู้อาการและวิธีป้องกัน

โรคจูบ (Kissing Disease) หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า โรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส เป็นโรคไวรัสที่พบบ่อย เกิดจากไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr (EBV)) มักเกี่ยวข้องกับการสัมผัสใกล้ชิด เช่น การจูบ การหอม ไอ จาม หรือ การสัมผัสสารคัดหลั่ง ผู้คนมักเข้าใจว่าโรคนี้มักเกิดกับวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ แต่แท้จริงแล้วสามารถติดต่อกับเด็กทารกได้ด้วย เช่น การหอมแก้มลูกน้อยของคุณ ในบทความนี้เราจะเจาะลึกถึงสาเหตุ อาการ การแพร่เชื้อ และการป้องกันของโรคนี้ที่น่าสนใจและข้อมูลที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด มาติดตามกันได้ในบทความนี้

โรคจูบเกิดจากสาเหตุใด

อย่างที่ทราบกันดีว่าโรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส หรือ โรคจูบ เกิดจากไวรัส Epstein-Barr (EBV) ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่มเริม เป็นหนึ่งในไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุดทั่วโลก สำหรับการแพร่กระจาย กระบวนการรับเชื้อของไวรัสชนิดนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุดังนี้

การแพร่เชื้อ

  • ไวรัสชนิดนี้แพร่กระจายผ่านทางน้ำลายเป็นหลัก นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมจึงมักเกี่ยวข้องกับการจูบ
  • วิธีการแพร่เชื้ออื่น ๆ ได้แก่ การสัมผัสอุปกรณ์ของใช้ร่วมกันที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง เช่น แก้วน้ำ แปรงสีฟัน หลอดน้ำ มีดโกน หรือสัมผัสวัตถุที่ปนเปื้อนน้ำลายจากการไอหรือจามลดกัน หรือแม้กระทั่งการมีเพศสัมพันธ์
  • ในบางกรณี ไวรัส EBV สามารถแพร่กระจายผ่านการถ่ายเลือดหรือการปลูกถ่ายอวัยวะได้เช่นกัน

กระบวนการติดเชื้อ

  • เมื่อไวรัส EBV เข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปติดเชื้อในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดเบต้า ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง
  • ไวรัสจะจำลองและกระตุ้นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดอาการเฉพาะของโรคโมโนนิวคลีโอซิส

การติดเชื้อแฝง

  • หลังจากการติดเชื้อในระยะเริ่มแรก ไวรัส EBV จะยังคงอยู่ในร่างกาย
  • ในกรณีส่วนใหญ่ไวรัสจะไม่กลับมาแพร่ระบาดได้อีกแต่จะยังอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิต เมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอเชื้อไวรัสนี้จะกลับมากำเริบอีกครั้ง

ไม่ใช่ทุกคนที่สัมผัสกับไวรัส EBV แล้วจะมีอาการของโรคโมโนนิวคลีโอซิส เพราะผู้คนจำนวนมากโดยเฉพาะเด็ก อาจติดเชื้อไวรัสได้แต่มีอาการเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลย อาการจะเด่นชัดมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อการติดเชื้อได้รุนแรงขึ้นนั่นเอง

โรคจูบมีอาการอย่างไร

ลักษณะอาการของโรคนี้มีลักษณะคล้ายกับโรคหวัดทั่ว ๆ ไป แยกค่อนข้างลำบาก จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อจากการตรวจเชื้อเท่านั้น สำหรับอาการที่พบได้โดยทั่วไปของโรคจูบมีดังนี้

  • อ่อนเพลีย
  • มีไข้
  • เจ็บคอ
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม
  • เบื่ออาหาร

โรคจูบหายเองได้ไหม

โรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส หรือ โรคจูบ สามารถหายได้เองภายใน 3-4 วัน โดยไม่ต้องใช้ยารักษา อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่อาการรุนแรง โดยอาจสังเกตว่ามีต่อมน้ำโตจนสังเกตได้ ร่วมถึงตรวจร่างกายแล้วพบว่า ม้ามโต ตับโต หรือมีจุดสีขาวขึ้นที่ต่อมทอนซิลให้ระมัดระวังภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ภาวะหายใจไม่ออก ดีซ่าน ตับอักเสบ หรือโลหิตจาง

Genitique clinic

วิธีป้องกันไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr (EBV))

เนื่องจากไวรัสชนิดนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ฉะนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดจาก “โรคจูบ” (โรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส) คือหลีกเลี่ยงหรือลดการสัมผัสกับไวรัส Epstein-Barr (EBV) ซึ่งเป็นสาเหตุของการก่อโรค

  • หลีกเลี่ยงการจูบกับผู้ที่กำลังป่วย หรือกำลังหายจากโรคโมโนนิวคลีโอซิส
  • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน เนื่องจากไวรัสสามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์
  • โปรดเข้าใจว่าแม้ว่าจะหายจากโรคแล้ว ผู้คนก็อาจยังคงขับเชื้อไวรัสออกมาทางน้ำลายเป็นระยะ ๆ
  • ล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสปากหรือใบหน้า
  • ส่งเสริมให้เด็ก ๆ หลีกเลี่ยงการนำสิ่งของ เช่น ของเล่นเข้าปาก
  • หลีกเลี่ยงการแบ่งปันสิ่งของส่วนตัว
  • อย่าใช้แก้วดื่มน้ำ อุปกรณ์ หลอดดูด แปรงสีฟัน หรือผลิตภัณฑ์สำหรับริมฝีปากร่วมกัน เพราะอาจมีน้ำลาย หรือสารคัดหลั่งแพร่กระจายอยู่
  • กินร้อน ช้อนกลาง อย่างเคร่งครัด
  • ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับการติดเชื้อ รับประทานอาหารให้สมดุล ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับให้เพียงพอ และจัดการกับความเครียด

โรคจูบ กับ โรคเริม ต่างกันอย่างไร

แม้ว่า “โรคจากการจูบ” (โรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส) และโรคเริม จะมีความคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ เกิดจากไวรัสในตระกูลไวรัสเริม แต่โรคทั้ง 2 โรคนี้มีความแตกต่างกัน โดยมีสาเหตุ อาการ และช่องทางการติดต่อที่แตกต่างกันดังนี้

  • สาเหตุของการเกิดโรค

โรคจูบ (โรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส) :  เกิดจากไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr (EBV)) ที่มุ่งเป้าไปที่เบต้าเซลล์(B-Cell) หรือเซลล์เม็ดเลือดขาวที่พบในระบบน้ำเหลือง

โรคเริม :  เกิดจากเชื้อไวรัสเริม Herpes simplex (HSV) มักทำให้เกิดโรคเริมภายในช่องปาก (HSV-1), โรคเริมที่อวัยวะเพศ (HSV-2)

  • ลักษณะอาการที่พบ

โรคจูบ :  อาการของโรคจะส่งผลต่อร่างกายทั้งระบบ มักพบว่าผู้ป่วยจะมีไข้ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต บางครั้งอาจมีผื่นขึ้น มักจะหายได้ในไม่กี่สัปดาห์ อย่างไรก็ตามอาการเหนื่อยล้าอาจคงอยู่ได้นานหลายเดือน

โรคเริม : ส่งผลต่อร่างกายบริเวณที่ติดเชื้อ มักเป็นแผลตุ่มพองและเจ็บที่ภายในช่องปาก ริมฝีปาก อวัยวะเพศหรือทวารหนัก มีแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นซ้ำเป็นระยะ ๆ

  • ลักษณะการติดเชื้อ

โรคจูบ : ติดเชื้อผ่านทางน้ำลายเป็นหลัก สามารถแพร่กระจายผ่านการใช้ภาชนะ สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย หรือการสัมผัสน้ำลายหรือสารคัดหลั่ง

โรคเริม : ติดเชื้อผ่านทางผิวหนังจากการสัมผัสเชื้อไวรัสโดยตรง รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์

  • การเกิดซ้ำของโรค

โรคจูบ : เชื้อไวรัสจะแฝงตัวอยู่ในร่างกายผู้ป่วยไปตลอดชีวิต แต่จะไม่แสดงอาการกำเริบ อย่างไรก็ตามหากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอเมื่อไหร่ อาการของโรคก็จะกลับมาได้

โรคเริ่ม : เชื้อไวรัส HSV จะยังคงแฝงอยู่ตลอดชีวิต แต่จะกลับมาเป็นซ้ำอีกบ่อยครั้ง ทำให้เกิดแผลหรือตุ่มพองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

  • การรักษา

โรคจูบ : ไม่มีวัคซีนหรือยารักษาโดยเฉพาะ การดูแลเน้นไปที่การรักษาแบบบรรเทาอาการ เช่น การพักผ่อน การดื่มน้ำมาก ๆ และกินยาลดไข้

โรคเริม : รักษาด้วยยาต้านเชื้อไวรัส เพื่อลดความรุนแรงและความถี่ของการเกิดอาการ

แม้ว่าทั้ง 2 โรคจะเกิดจากไวรัสเริม แต่ EBV แพร่กระจายผ่านน้ำลายเป็นหลัก ในขณะที่ HSV ทำให้เกิดการระบาดในบริเวณเฉพาะ (แผลในช่องปากหรืออวัยวะเพศ) และแพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรง

โรคจูบมีวิธีรักษาอย่างไร

โรคจากการจูบไม่มียาหรือวัคซีนรักษาโดยเฉพาะ แต่สามารถจัดการกับอาการเจ็บป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการดูแลแบบประคับประคองดังต่อไปนี้

การพักผ่อน : การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง

การดื่มน้ำ : ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ

กินยาบรรเทาอาการปวด : ยาแก้ปวดที่ซื้อเองได้ เช่น อะเซตามิโนเฟนหรือไอบูโพรเฟน สามารถช่วยลดไข้และบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกายหรือเจ็บคอได้

กินยาบรรเทาอาการเจ็บคอ : การกลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ หรือใช้ยาอมแก้เจ็บคอสามารถบรรเทาอาการเจ็บคอได้

หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก : ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมต่าง ๆ เช่น กีฬาที่มีการปะทะกันเป็นเวลาจนกว่าอาการจะหายดี เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ม้ามจะโตและอาจแตกได้

โรคจูบมีระยะเวลาการฟื้นตัวนานแค่ไหน

อาการมักจะคงอยู่ประมาณ 2 ถึง 4 สัปดาห์ แต่อาการเหนื่อยล้าอาจคงอยู่นานถึงหลายเดือนในผู้ติดเชื้อบางราย

เมื่อใดควรไปพบแพทย์

หากอาการแย่ลงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หายใจลำบาก ปวดท้องรุนแรงหรือตัวเหลือง ควรไปพบแพทย์ทันที โรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส หรือ โรคจูบ อาจไม่ใช่โรคติดต่อที่รุนแรง แต่สามารถแพร่เชื้อได้ง่ายหากขาดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง นอกจากนี้อาการของผู้ป่วยที่แสดงออก จะมีลักษณะคล้ายกับโรคไข้หวัดอย่างมาก ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้ตัวเองว่าเข้าข่ายมีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr (EBV)) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคจูบ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจ และหาวิธีหลีกเลี่ยงในการเป็นตัวกลางแพร่เชื้อสู่คู่ของคุณหรือครอบครัวต่อไป

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคจูบ

โรคจูบคืออะไร?

โรคจูบ (Kissing Disease) หรือโรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส เกิดจากไวรัส Epstein-Barr (EBV) ซึ่งสามารถแพร่เชื้อผ่านน้ำลาย การจูบ หรือสัมผัสสารคัดหลั่งอื่น ๆ ส่งผลให้มีอาการอ่อนเพลีย ไข้ เจ็บคอ และต่อมน้ำเหลืองบวม

โรคจูบมีอาการอย่างไร?

อาการของโรคจูบ ได้แก่ อ่อนเพลีย ไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองบวม เบื่ออาหาร และบางครั้งอาจมีม้ามโต อาการเหล่านี้มักจะคล้ายไข้หวัดทั่วไป

โรคจูบหายเองได้ไหม?

โรคจูบสามารถหายได้เองภายใน 3-4 สัปดาห์โดยไม่ต้องใช้ยา แต่ในกรณีที่มีอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อน ควรพบแพทย์เพื่อรับการดูแลเพิ่มเติม

วิธีป้องกันโรคจูบทำได้อย่างไร?

วิธีป้องกันโรคจูบ ได้แก่ หลีกเลี่ยงการจูบหรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ หรือแปรงสีฟัน และรักษาความสะอาดล้างมือบ่อย ๆ

โรคจูบต่างจากโรคเริมอย่างไร?

โรคจูบเกิดจากไวรัส Epstein-Barr (EBV) แพร่กระจายผ่านน้ำลายและสารคัดหลั่ง ในขณะที่โรคเริมเกิดจากไวรัส Herpes simplex (HSV) โดยมักทำให้เกิดตุ่มพองที่ช่องปากหรืออวัยวะเพศ

บทความน่าสนใจ

Picture of แพทย์หญิง ธนวรรณ ศิริสุข

แพทย์หญิง ธนวรรณ ศิริสุข

Global Speaker and Trainer in Aesthetic Gynecology แพทย์ผู้สอนงานประชุมวิชาการ ทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก และ American Board of Cosmetic Gynecology, U.S.A. (คนแรกของไทย)

บทความใหม่

ค้นหาข้อมูล

บริการของเรา