Genitique clinic

โรคเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง เรียนรู้เกี่ยวกับอาการและวิธีป้องกันที่ถูกต้อง

โรคเพศสัมพันธ์ Sexually Transmitted Diseases (STDs) เป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญสำหรับคู่รักและสามี ภรรยาทุกคู่ ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสุขภาพกายเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงอารมณ์และความสัมพันธ์อีกด้วย และอาจส่งผลร้ายแรงในระยะยาวหากไม่ได้รับการรักษา เช่น ทำให้มีบุตรยาก มีอาการปวดเรื้อรัง และมีความเสี่ยงต่อโรคอื่น ๆ มากขึ้น การทำความเข้าใจความเสี่ยง เรียนรู้วิธีป้องกัน ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดี บทความนี้ Genitiqueclinic.com จะกล่าวถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผลกระทบต่อสุขภาพ และมาตรการป้องกันที่ควรปฏิบัติ เพื่อปกป้องตนเองและคู่รักของคุณให้ห่างไกลจากโรคร้ายที่คอยบ่อนทำลายสุขภาพและความสัมพันธ์ในอนาคต

สารบัญ

โรคเพศสัมพันธ์คืออะไร

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีชื่อเดิมคือ “กามโรค” (Venereal Disease) เป็นกลุ่มโรคที่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อหรือเป็นโรคอยู่แล้ว ผ่านทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก ในปัจจุบันมีการพบโรคในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นจึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) แทน ซึ่งโรคที่สำคัญได้แก่ หนองในแท้ หนองในเทียม เริม ซิฟิลิส และเอชพีวี เป็นต้น

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้แก่

  1. หนองในแท้

สาเหตุ : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ติดต่อผ่านสารคัดหลั่ง เช่น น้ำอสุจิ หรือน้ำในช่องคลอด สามารถแพร่เชื้อได้ผ่านทางเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน นอกจากนี้ยังติดต่อกันได้จากการใช้ของใช้ร่วมกันอีกด้วย

ระยะฟักตัว : 2 – 7 วัน

อาการ : ในผู้ป่วยชายจะมีอาการหนองข้นไหลออกจากท่อปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด ส่วนผู้ป่วยหญิงมักไม่แสดงอาการใด ๆ หรือมีอาการน้อย เช่น ตกขาวผิดปกติ ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจลุกลามทำให้ท่ออสุจิตีบตัน ต่อมลูกหมากอักเสบ เป็นหมัน อุ้งเชิงกรานอักเสบ ท่อรังไข่ตีบตัน ปวดตามข้อ ผื่นขึ้นตามลำตัวและเยื่อบุ ปวดตามข้อ

  1. หนองในเทียม

สาเหตุ : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน สามารถแพร่กระจายทางอวัยวะเพศ ทวารหนัก ปาก ตา และจากแม่สู่ทารกในครรภ์

ระยะฟักตัว : เฉลี่ย 7 วัน

อาการ : มักมีอาการหนองใส ๆ ไหลออกจากปลายท่อปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด หากปล่อยไว้ไม่รักษาอาจลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อนลักษณะเดียวกันกับโรคหนองในแท้ได้

  1. ซิฟิลิส

สาเหตุ : เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันทางช่องคลอด ทวารหนัก การทำออรัลเซ็กส์ (Oral sex) หรือจากแม่สู่ทารกระหว่างการตั้งครรภ์

ระยะฟักตัว : 10 – 90 วัน (เฉลี่ย 21 วัน)

อาการ : แบ่งออกเป็น 4 ระยะตามความรุนแรง ระยะที่ 1 จะเป็นแผลเล็ก ๆ สีแดงขอบนูนที่ปาก อวัยวะเพศ ทวารหนัก เยื่อบุตา หรือเยื่อบุช่องคลอด หากไม่ได้รับการรักษาจะเข้าสู่ระยะที่ 2 ซึ่งเป็นระยะออกดอก อาการจะปรากฎภายใน 3-12 สัปดาห์หลังติดเชื้อ เป็นระยะที่เชื้อแพร่กระจายสู่ต่อมน้ำเหลืองและกระแสเลือด ลักษณะของผื่นอาจมีตั้งแต่นูนหนามีสะเก็ด เป็นแผลหลุมกดไม่เจ็บกระจายทั่วร่างกาย อาจมีไข้ ปวดข้อ ผมร่วง ต่อมน้ำเหลืองโต ถ้ายังไม่ได้รับการรักษาอีกโรคจะเข้าสู่ระยะสงบไม่แสดงอาการแต่ว่าหลังจากนั้นอีกหลายปีจะเข้าสู่ระยะสุดท้ายของโรค ซึ่งจะแสดงอาการรุนแรง ผิวหนังเป็นก้อนนูนแตก ตาบอด หูหนวก กระดูกอักเสบ สมองพิการ เส้นเลือดหัวใจโป่งพอง ลิ้นหัวใจรั่ว และเสียชีวิตในที่สุด

  1. เริม

สาเหตุ : เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex virus ติดต่อผ่านการสัมผัสกับสามารถติดเชื้อได้ง่าย เช่น ผิวหนัง ปาก บริเวณอวัยวะเพศ และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย

ระยะฟักตัว : 2 – 14 วัน

อาการ : มีตุ่มน้ำใส ๆ ขึ้นเป็นกลุ่มตามร่างกาย บางรายมีตุ่มน้ำใสขึ้นที่ริมฝีปาก ในช่องปาก ร่วมกับอาการปวด แสบ และคันบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก เมื่อติดเชื้อเริมแล้วเชื้อจะหลบอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิต เมื่อเวลาร่างกายอ่อนแอโรคจะกลับมากำเริบขึ้นได้

  1. เอชพีวี (HPV)

สาเหตุ : เกิดจากเชื้อไวรัส Human papilloma virus ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโดยตรง

ระยะฟักตัว : 3 เดือน จนถึงหลายปี

อาการ : เชื้อ HPV มีมากกว่า 100 สายพันธุ์แต่สามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักได้แก่ กลุ่มสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงต่ำไม่ทำให้เกิดมะเร็ง กับ กลุ่มสายพันธุ์ที่มีความสูงที่จะทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งทวารหนัก สำหรับอาการส่วนใหญ่หลังติดเชื้อผู้ป่วยจะมีหูดหงอนไก่กระจายตัวอยู่ตามอวัยวะเพศภายนอก รวมถึงอาจมีตกขาวกลิ่นเหม็นรุนแรง หรืออาจมีเลือดออกกะปริดกะปรอยจากช่องคลอด สำหรับความน่ากลัวของโรค HPV คืออาจไม่แสดงอาการใด ๆ ให้เห็นเลย แต่พอเริ่มมีอาการปรากฏมักกลายเป็นมะเร็งระยะลุกลามไปแล้ว ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ

  1. เอชไอวี (เอดส์)

สาเหตุ : การติดเชื้อ HIV ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่ง ได้แก่ น้ำอสุจิ เลือด น้ำเหลือง สารหล่อลื่นตามธรรมชาติในช่องคลอด จากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสัมผัสกับเลือดหรือน้ำเหลือง การรับบริจาคเลือด รวมถึงติดเชื้อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ และการให้นมบุตร

ระยะฟักตัว : 2-10 ปีหรือมากกว่า

อาการ : ระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อมักไม่แสดงอาการใด ๆ จนเข้าสู่ช่วง 5-10 ปีโดยประมาณ ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของผู้ติดเชื้อจะอ่อนแอลงและเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต เป็นแผลในช่องปาก ฝ้าขาวที่ลิ้น เชื้อราที่เล็บ เริมที่ปาก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ท้องเสียเรื้อรัง น้ำหนักตัวลด งูสวัด ปอดอักเสบ และเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3 ระยะสุดท้ายมักเกิดโรคแทรกซ้อน และโรคติดเชื้อรุมเร้าพร้อม ๆ กัน เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ ท้องเสียเรื้อรัง เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อคริปโตคอคคัส ไอเป็นเลือด ตาพร่ามัว หลอดอาหารอักเสบ กลืนอาหารลำบาก ตัวเนื้อเขียวเป็นจ้ำ ผู้หญิงมีตกขาวบ่อย หลงลืมง่าย แขนขาอ่อนแรง ผู้ป่วยมักมีชีวิตได้ 2-3 ปีก่อนเสียชีวิต

  1. พยาธิในช่องคลอด

สาเหตุ : ติดเชื้อโปรโตซัวที่มีชื่อว่า Trichomonas vaginalis ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้ติดเชื้อ

ระยะฟักตัว : 5-28 วัน

อาการ : มีตกขาวมากผิดปกติ ตกขาวเป็นฟอง และอาจส่งกลิ่นเหม็นคาวปลา มีเลือดไหลออกจากช่องคลอด บวม แดง คัน หรือรู้สึกแสบบริเวณอวัยวะเพศ ปวดปัสสาวะบ่อย เจ็บปวดขณะปัสสาวะ หรือมีเพศสัมพันธ์ หากเป็นแล้วไม่รีบรักษามีโอกาสลุกลามไปยังท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ และในระยะยาวมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก และทำให้มีบุตรยาก

  1. ไวรัสตับอักเสบ บี

สาเหตุ : ติดต่อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ป้องกัน หรือผ่านทางเลือด การใช้เข็มฉีดยา มีดโกนหนวด แปรงสีฟันร่วมกัน การสัก และจากแม่สู่ลูก

ระยะฟักตัว : 2-3 เดือน

อาการ : ผู้ป่วยจะรู้สึกเบื่ออาหาร มีไข้ อ่อนเพลีย เหนื่อยหอบ ปวดตามข้อ คลื่นไส้อาเจียน ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้ม

ในประเทศไทยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน ดูได้จากผู้ติดเชื้อที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ชี้ให้เห็นว่าคนไทยยังขาดความตระหนักถึงอันตรายของโรค และขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการป้องกันตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนอายุระหว่าง 15–24 ปีมีสัดส่วนการป่วยมากที่สุด

Genitique clinic

ใครบ้างที่เสี่ยงติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ?

ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือผู้ที่เคยมีประวัติเคยป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในอดีต ผู้ที่ใช้สารเสพติด และผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ

วิธีปฏิบัติตัวเมื่อสงสัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ?

หากคุณสงสัยว่าตนเองเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) สิ่งสำคัญคือต้องดำเนินการทันที เพื่อปกป้องการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ต่อไปนี้คือคำแนะนำทีละขั้นตอนเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำ

1. จดจำอาการที่เป็นสัญญาณทั่วไปของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • มีตกขาว หรือ ตกขาวผิดปกติ
  • ปวดหรือแสบขณะปัสสาวะ
  • มีแผลพุพองหรือผื่นที่อวัยวะเพศหรือบริเวณโดยรอบ
  • มีอาการคัน บวม หรือแดงบริเวณอวัยวะเพศ
  • มีอาการเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
  • มีอาการอ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ มีไข้ หรือต่อมน้ำเหลืองบวม

หมายเหตุ:โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายชนิดอาจไม่มีอาการ ดังนั้นการตรวจคัดกรองเป็นประจำจึงมีความสำคัญหากคุณมีเพศสัมพันธ์

2. แจ้งให้คู่ของคุณทราบและหยุดกิจกรรมทางเพศ

หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าคุณจะได้รับการตรวจวินิจโดยละเอียดแล้วว่าไม่ติดเชื้อ วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังคู่ของคุณได้ดีที่สุด

3. ไปพบแพทย์

พบสูตินรีแพทย์ แพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ หรือคลินิกสุขภาพทางเพศ ที่สามารถทำการทดสอบที่จำเป็นได้ แพทย์อาจทำการตรวจปัสสาวะสำหรับโรคหนองใน ตรวจเลือดสำหรับการติดเชื้อ เช่น HIV ซิฟิลิส หรือเริม

4. ปฏิบัติตามแผนการรักษา

หากการวินิจฉัยพบว่าติดเชื้อให้ปฏิบัติตามการรักษาอย่างเคร่งครัดตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัส และถึงแม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้ว ก็ยังคงให้รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งทั้งหมดให้ครบถ้วน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดซ้ำหรือการดื้อยา

5. การติดตามอาการ

การทดสอบซ้ำโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด เช่น หนองใน จำเป็นต้องได้รับการทดสอบซ้ำหลังจากการรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าการติดเชื้อได้หายดีแล้ว หากอาการยังคงอยู่หรือแย่ลง ควรขอคำแนะนำทางการแพทย์เพิ่มเติม

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รักษาหายขาดหรือไม่ ?

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการกินยาหรือฉีดยาปฏิชีวนะจนครบตามแพทย์สั่ง ส่วนโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น เริม และ เอชพีวี การรักษาจะใช้วิธีควบคุมอาการแต่จะไม่สามารถกำจัดเชื้อให้หมดไปจากร่างกายได้ เชื้อจะอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิต ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาระบบภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการกลับมากำเริบของโรคในอนาคต

Genitique clinic

วิธีป้องกันตนเองจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  1. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  2. การมีคู่นอนคนเดียว (ที่ไม่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์) จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้
  3. หญิงอายุน้อยกว่า 25 ปีที่มีเพศสัมพันธ์บ่อย มีคู่นอนหลายคน หรือกลุ่มชายรักชาย ควรตรวจหนองในแท้และหนองในเทียมปีละครั้ง รวมถึงตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิสอย่างน้อยปีละครั้งในกลุ่มชายรักชาย
  4. เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV สำหรับผู้ที่มีอายุ 9-45 ปี

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โรคเพศสัมพันธ์คืออะไร?

โรคเพศสัมพันธ์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) คือกลุ่มโรคที่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน ซิฟิลิส เริม และเอชไอวี ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว

โรคเพศสัมพันธ์มีอาการอย่างไร?

อาการของโรคเพศสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค เช่น มีตกขาวผิดปกติ, ปัสสาวะแสบขัด, แผลพุพองที่อวัยวะเพศ, ผื่นแดง หรือมีไข้ โดยบางโรคอาจไม่มีอาการในระยะแรก

โรคเพศสัมพันธ์รักษาหายขาดได้หรือไม่?

โรคเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากแบคทีเรีย เช่น หนองในแท้ และซิฟิลิส สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ส่วนโรคที่เกิดจากไวรัส เช่น เริม และเอชพีวี ไม่สามารถกำจัดเชื้อได้ แต่สามารถควบคุมอาการได้

ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างไร?

การป้องกันโรคเพศสัมพันธ์สามารถทำได้โดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์, การตรวจสุขภาพประจำปี, และการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV

ควรทำอย่างไรหากสงสัยว่าติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?

หากสงสัยว่าติดโรคเพศสัมพันธ์ ควรหยุดการมีเพศสัมพันธ์ แจ้งคู่ของคุณ และรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนควรใส่ใจและให้ความสำคัญ โดยเฉพาะคู่สามี ภรรยา หรือคู่รักที่ต้องการวางแผนครอบครัว ทั้งนี้ ก็เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองและคนที่คุณรัก หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพทางเพศ GENITIQUE CLINIC ยินดีเป็นพื้นที่ปลอดภัย เพราะที่นี่คือคลินิกเฉพาะทางความงามจุดซ่อนเร้นและสุขภาพทางเพศ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 062-924-4966 หรือ Line: @Genitiqueclinic เรายินดีให้บริการอย่างใกล้ชิดทุกเคสค่ะ

บทความน่าสนใจ

Picture of แพทย์หญิง ธนวรรณ ศิริสุข

แพทย์หญิง ธนวรรณ ศิริสุข

Global Speaker and Trainer in Aesthetic Gynecology แพทย์ผู้สอนงานประชุมวิชาการ ทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก และ American Board of Cosmetic Gynecology, U.S.A. (คนแรกของไทย)

บทความใหม่

ค้นหาข้อมูล

บริการของเรา